Autonomous ยุครถยนต์ไร้คนขับ !!
Autonomous vehicle มีกี่ระดับ? มาทำความรู้จักกัน
Autonomous vehicle คือ เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ โดยใช้เทคโนโลยีและระบบเซนเซอร์แบบต่างๆช่วยในการขับเคลื่อนเดินทาง โดยลดหรือไร้ความจำเป็นต้องมีการควบคุมหรือตัดสินใจของมนุษยอีกแล้วนั้นเอง
** ระดับของรถยนต์ไร้คนขับ มีทั้งหมด 6 ระดับด้วยกันคือ **
Level 0 (No Driving Automation) >> รถยนต์ที่ผู้ขับยังต้องควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่การบังคับทิศทาง, การเร่งความเร็ว, การเบรกเพื่อหยุดหรือชลอรถ, สตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์ เป็นต้น
Level 1 (Driver Assistance) >> รถยนต์โดยมากยังถูกควบคุมโดยผู้ขับ แต่มีบางฟังก์ชั่นที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ เช่น การบังคับทิศทาง (Lane keeping Assist) หรือ การเร่งและรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า (Adaptive Cruise control) เป็นต้น
Level 2 (Partial Automation) >> ในระดับนี้จะหมายถึงรถที่มีระบบ ADAS – Advanced Driver Assistance Systems รถจะควบคุมทิศทางและความเร็วได้เองทั้งหมด แต่คนขับยังสามารถเปลี่ยนเป็นการควบคุมรถได้ด้วยผู้ขับเองตลอดเวลา ตัวอย่างของรถระดับนี้เช่น ระบบ Autopilot ของ Tesla และ ระบบ Super Cruise System ของ GM
Level 3 (Conditional Automation) >> เหนือไปกว่า Level 2 คือรถจะสามารถรับรู้สภาวะโดยรอบ เพื่อปรับการขับเคลื่อนให้เหมาะสมและปลอดภัยยิ่งขึ้น ในระดับนี้ผู้ขับยังคงต้องเตรียมพร้อมที่จะควบคุมรถแทนเมื่อมีเหตุจำเป็นและระบบของรถไม่สามารถรับรู้ได้ ระบบ Traffic Jam Pilot ของ Audi ในรุ่น A8L ถือเป็นระบบแรกที่นับว่าอยู่ในระดับ 3
Level 4 (High Automation) >> ในระดับนี้รถรถสามารถเดินทางได้ด้วยตัวเองด้วยความเหมาะสมปลอดภัยในสภาวะแวดล้อมต่างๆ แทบไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีมนุษย์ในการดูแลควบคุม แต่ผู้ขับยังสามารถเปลี่ยนมาบังคับควบคุมรถได้เองตลอดเวลา ข้อจำกัดที่ยังคงเหลือคือ กฎหมายข้อบังคับและโครงสร้างพื้นฐานในบางพื้นที่ รถยนต์ที่อยู่ในระดับ 5 อาทิเช่น NAVYA รถโดยสารประจำทางในสหรัฐอเมริกา, Volvo & Baidu รถแท็กซี่ในประเทศจีน เป็นต้น
Level 5 (Full Automation) >> รถในระดับนี้จะสามารถเดินทางด้วยตัวเอง 100% จะไม่มีพวงมาลัยหรือที่นั่งสำหรับผู้ขับในรถอีกต่อไป รถที่อยู่ในระดับนี้ล้วนอยู่ในขั้นตอนการทดสอบ ก่อนนำมาใช้งานจริงเช่น Zoox รถแท็กซี่ไร้คนขับที่กำลังจะให้บริการในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
** ประโยชน์ของรถยนต์ไร้คนขับ **
1. ท้องถนนจะมีความปลอดภัยมากขึ้น รถยนต์ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่สามารถรับรู้และตอบสนองต่อสภาพภายนอกได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำนั้น จะช่วยให้การขับขี่มีความปลอดภัยมากขึ้น งานวิจัยจาก Eno Centre for Transportation กล่าวว่าหาก 90% ของรถยนต์ในสหรัฐฯเป็นรถอัตโนมัติ จะช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุลงได้เกือบ 80% เลยทีเดียว
2. การจราจรและการใช้เชื้อเพลิงจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การลดอุบัตเหตุนั้นนอกจากจะลดความสูญเสียแล้ว ยังเป็นการกำจัดสาเหตุที่รถติดบนท้องถนน การมีแท็กซี่ขับเคลื่อนอัตโนมัติจะจูงใจให้ผู้คนใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลง และการตัดสินใจของระบบอัตโนมัติจะทำให้รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยการเบรกและเร่งอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น
3. มีเวลามากขึ้น เมื่อรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ผู้ใช้งานสามารถนำเวลาในการเดินทางไปทำอย่างอื่นได้อย่างเต็มที่ และการที่รถอัตโนมัติช่วยลดการเกิดรถติด จะทำให้เวลาในการเดินทางสั้นลง McKinsey มีการประเมิณว่า เมื่อรถยนต์อัตโนมัติมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย จะช่วยประหยัดเวลาในท้องถนนรวมๆแล้วกว่า 1 พันล้านชั่วโมงต่อวัน
เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ ไม่ใช่เรื่องของอนาคตที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไปครับ